ติวเข้าเตรียมอุดม: TENSE คู่ปราบเซียน เลือกผิด ความหมายเปลี่ยน!

การสอบเข้า ม.4 เตรียมอุดมไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะในวิชาภาษาอังกฤษที่ต้องใช้ทั้งความเข้าใจและไหวพริบ หนึ่งในหัวข้อที่มักทำให้น้อง ๆ  “สะดุด” อยู่เสมอ ก็คือ TENSE เพราะแม้จะดูเหมือนเป็นแค่การเลือกกริยาตามกาลเวลา แต่ถ้าเลือกผิดเพียงนิดเดียว ความหมายของประโยคก็อาจเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง! วันนี้เราจะพาทุกคนมาติวเข้มกับ TENSE คู่ปราบเซียน ที่ออกสอบบ่อย และผิดกันเยอะ พร้อมเทคนิคสังเกตและวิธีจำที่ใช้ได้จริงในการ ติวเข้าเตรียมอุดม

 

ทำไม TENSE ถึงเป็นคู่ปราบเซียนในการสอบเข้าเตรียมอุดม อังกฤษ?

สาเหตุที่ทำให้น้อง ๆ ลือกผิด

1. ความคล้ายของรูปกริยาในแต่ละ Tense

หนึ่งในกับดักสำคัญของ TENSE คือความคล้ายกันของรูปกริยา โดยเฉพาะกลุ่มกริยา 3 ช่อง เช่น

• go – went – gone
• do – did – done
• teach – taught – taught
  เมื่อนำไปใช้ใน Tense ที่คล้ายกัน เช่น Past Simple กับ Present Perfect น้อง ๆ จึงมักเลือกผิด เพราะใช้ผิดช่อง หรือไม่แน่ใจว่าเหตุการณ์ควรใช้ Tense ไหนให้ตรงกับบริบทของประโยค

2. ข้อสอบหลอกด้วยคำบอกเวลา (Time markers)

คำบอกเวลาอย่าง “since”, “for”, “yesterday”, “now”, “when”, “just” ฯลฯ มักถูกนำมาเป็นกับดักในข้อสอบ เพื่อหลอกให้เราใช้ Tense แบบ reflex ทันที เช่น เจอคำว่า “always” ก็เลือก Present Simple โดยไม่ดูบริบท
ตัวอย่าง

• “I always walked to school when I was young.”
  แม้จะมี “always” แต่เพราะ “when I was young” คืออดีต จึงต้องใช้ Past Simple

3. เข้าใจหลักการแต่ไม่มั่นใจเวลาใช้จริง

น้อง ๆ จำนวนมาก “ท่องจำ” โครงสร้างได้เป๊ะ แต่เมื่อเจอข้อสอบที่มีบริบทซับซ้อน เช่น Past คู่กับ Past Perfect หรือ Present Perfect Continuous กลับตัดสินใจไม่ถูก เพราะไม่ได้ฝึกแยกแยะลักษณะของเหตุการณ์ให้ชัดเจน

 

ทวน Tense 12 Tense

ปกติแล้ว Tense แบ่งตาม “เวลา” ได้ 3 ช่วง ได้แก่

แต่ภาษาอังกฤษยังแบ่งลึกลงไปอีก โดยแต่ละช่วงเวลา (อดีต/ปัจจุบัน/อนาคต) ถูกแยกตามลักษณะของเหตุการณ์ได้อีก 4 แบบ จึงเกิดเป็น 12 Tense ดังนี้

โครงสร้าง Tense ไม่ได้จำยาก แต่ความยากคือ “การเลือกใช้ให้ถูกกับสถานการณ์”
เรามาดูภาพรวมของการใช้งาน Tense ทั้ง 12 แบบ พร้อมตัวอย่างสั้นๆ และคำแปล เพื่อให้น้อง ๆ ที่กำลังติวเข้าเตรียมอุดมเข้าใจได้ชัดเจนขึ้น

 

Present Tense (ปัจจุบัน)

 

Past Tense (อดีต)

 

Future Tense (อนาคต)

 

หลักการใช้ Tense คู่ ใน Past Tense

Tense คู่ (Paired Tenses) ในภาษาอังกฤษ คือการใช้ สองเหตุการณ์ในอดีต ซึ่งใช้ Tense ต่างกันในประโยคเดียวเพื่อแสดงความสัมพันธ์ของเวลา เช่น เหตุการณ์เกิดขึ้นพร้อมกัน, แทรกซ้อนกัน, หรือเกิดก่อน-หลังกัน ซึ่งใช้เฉพาะใน Past Tense เท่านั้น โดยมักใช้เพียง 3 Tense คือ

• Past Simple
• Past Continuous
• Past Perfect
•  

Past Continuous vs Past Continuous

ใช้เมื่อมี สองเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นในอดีต พร้อมกันและดำเนินต่อเนื่อง ทั้งคู่ เหมือนกับมีเรื่อง A กับ B กำลังเกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน

คำบอกเวลา:

• while (ในขณะที่), as (ขณะที่)

โครงสร้าง:

• Subject + was/were + V.ing, Subject + was/were + V.ing

ตัวอย่าง:

• While I was reading, my sister was cooking.
  (ขณะที่ฉันกำลังอ่านหนังสือ น้องสาวของฉันก็กำลังทำอาหาร)

Past Continuous vs Past Simple

ใช้เมื่อมีเหตุการณ์หนึ่งกำลังดำเนินอยู่ในอดีต (Past Continuous) แล้วมีอีกเหตุการณ์หนึ่งเข้ามาแทรกหรือเกิดขึ้นทันที (Past Simple)

คำบอกเวลา:

• while, as (ใช้กับ Past Continuous)
• when (ใช้กับ Past Simple)

โครงสร้าง: Subject + was/were + V.ing, Subject + V.2

ตัวอย่าง:

• While we were eating dinner, the phone rang.
  (ขณะที่เรากำลังกินข้าวเย็น โทรศัพท์ก็ดังขึ้น)
• I was taking a shower when someone knocked at the door.
  (ฉันกำลังอาบน้ำเมื่อมีคนเคาะประตู)

 

Past Simple vs Past Perfect

ใช้เมื่อต้องการบอกว่า มีเหตุการณ์หนึ่งเกิดก่อน แล้วจึงเกิดอีกเหตุการณ์หนึ่งตามมา ทั้งสองเหตุการณ์เกิดในอดีต

คำบอกเวลา:

• after + Past Perfect, Past Simple
• before + Past Simple, Past Perfect

โครงสร้าง:

• Subject + had + V.3, Subject + V.2
• หรือกลับกัน

ตัวอย่าง:

• After she had finished her homework, she watched TV.
  (หลังจากที่เธอทำการบ้านเสร็จแล้ว เธอก็ดูทีวี)
• I had left the house before the rain started.
  (ฉันออกจากบ้านไปก่อนที่ฝนจะเริ่มตก)

 

หลักการใช้ Tense คู่ ใน Present Tense

Tense คู่ในปัจจุบัน คือการจับคู่ของสองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกันหรือต่อเนื่องกันในปัจจุบัน เช่น เหตุการณ์ที่เกิดพร้อมกัน, เหตุการณ์ที่หนึ่งเกิดก่อนแล้วอีกเหตุการณ์หนึ่งตามมา หรือมีเหตุการณ์หนึ่งกำลังดำเนินอยู่และมีอีกเหตุการณ์เข้ามาแทรก

 

Present Continuous vs Present Continuous

ใช้เมื่อมี เหตุการณ์สองอย่างกำลังดำเนินอยู่ในขณะนี้ พร้อมกันทั้งคู่

คำบอกเวลา:

• while, as (ในขณะที่)

โครงสร้าง:

• Subject + is/am/are + V.ing, Subject + is/am/are + V.ing

ตัวอย่าง:

• While I am working, my brother is watching TV.
  (ขณะที่ฉันกำลังทำงาน พี่ชายของฉันก็กำลังดูทีวี)

 

Present Continuous vs Present Simple

เหตุการณ์หนึ่งกำลังเกิดขึ้น (Present Continuous) และมีอีกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นประจำหรือเข้ามาแทรกเป็นธรรมชาติ (Present Simple)

คำบอกเวลา:

• while, when

โครงสร้าง:

• Subject + is/am/are + V.ing, Subject + V.1
• หรือกลับกัน

ตัวอย่าง:

• While she is cooking, the baby cries.
  (ขณะที่เธอกำลังทำอาหาร เด็กก็ร้องไห้)

 

Present Perfect vs Present Simple

ใช้เมื่อมีเหตุการณ์ที่ เพิ่งเกิดขึ้นและมีผลต่อปัจจุบัน (Present Perfect) และอีกเหตุการณ์หนึ่งเป็นสิ่งที่ทำเป็นประจำหรือเกิดอยู่เสมอ (Present Simple)

คำบอกเวลา:

• since, after, before, when

โครงสร้าง:

• Subject + has/have + V.3, Subject + V.1

ตัวอย่าง:

• Since he has finished his homework, he plays games every evening.
  (ตั้งแต่เขาทำการบ้านเสร็จ เขาก็เล่นเกมทุกเย็น)

 

วัดความเข้าใจก่อนเจอข้อสอบเตรียมอุดม

1. Jessica _________ (never fall) in love until she _________ (meet) Ben two years ago.

เฉลย:
1) had never fallen
2) met

เหตุผล:
เหตุการณ์ที่ว่า “ไม่เคยตกหลุมรัก” เกิดก่อนที่จะพบ Ben จึงต้องใช้ Past Perfect (had never fallen) ส่วน “พบ Ben” เป็นเหตุการณ์ที่เกิดทีหลัง ใช้ Past Simple (met)

 

2. Bruce _________ (not stop) studying until he _________  (cover) all of the exam topics.

เฉลย:
3) didn’t stop
4) had covered

เหตุผล:
เหตุการณ์ “อ่านหนังสือครบ” เกิดก่อนการหยุดอ่าน จึงใช้ Past Perfect (had covered) ส่วน “หยุดอ่าน” เกิดทีหลัง ใช้ Past Simple (didn’t stop)

 

3. When the old woman _________ (hear) that her grandson_________ (arrest) for robbery, she _________ (shock).

เฉลย:
5) heard
6) had been arrested
7) was shocked

เหตุผล:

• การจับกุมเกิดก่อนการได้ยิน → ใช้ Past Perfect Passive (had been arrested)
• “ได้ยิน” ใช้ Past Simple (heard)
• “ตกใจ” เป็นผลทันทีที่รู้ข่าว → ใช้ Past Simple (was shocked)

 

4. When Megan _________ (have) problems at school, her parents _________ (usually help) her to cope with them.

เฉลย:
8) has
9) usually help

เหตุผล:
ประโยคนี้พูดถึงสถานการณ์ทั่วไปที่ยังคงเกิดอยู่ในปัจจุบัน → ใช้ Present Simple ทั้งสองช่อง

 

5. We _________ (wait) for the bus for nearly half an hour, but it (not arrive) yet so I don’t think we _________ (be able to) attend the meeting on time.

เฉลย:
10) have been waiting
11) hasn’t arrived
12) will be able to

เหตุผล:

• กำลังรออยู่ในปัจจุบัน → ใช้ Present Perfect Continuous
• ยังไม่มาถึง → ใช้ Present Perfect (hasn’t arrived)
• พูดถึงอนาคต → ใช้ Future (will be able to)

 

6. When Sarah _________ (graduate) from university next year, she _________ (study) English for nearly four years.

เฉลย:
13) graduates
14) will have been studying

เหตุผล:

• เหตุการณ์ในอนาคต ใช้ Present Simple หลัง when (graduates)
• ใช้ Future Perfect Continuous (will have been studying) เพื่อแสดงระยะเวลาจนถึงจุดในอนาคต

 

7. While the children _________ (play) by the lake, one of them _________ (drop) his ball and _________ (try) to get it out himself.

เฉลย:
15) were playing
16) dropped
17) tried

เหตุผล:

• กิจกรรมพื้นหลังที่กำลังเกิด → Past Continuous (were playing)
• เหตุการณ์แทรก/เกิดทันที → Past Simple (dropped, tried)

 

8. Tomorrow at around 7.30 pm, I _________ (drive) through America.

เฉลย:
will be driving

เหตุผล:
ใช้ Future Continuous เพื่อแสดงว่า ณ เวลาใดเวลาหนึ่งในอนาคต กำลังทำกิจกรรมอยู่

 

9. Builders _________ (finish) the Millennium Dome by the end of the year 2000.

เฉลย:
had finished

เหตุผล:
เมื่อพูดถึงเหตุการณ์ที่เสร็จสิ้นก่อนช่วงเวลาหนึ่งในอดีต ใช้ Past Perfect