รวม 12 วิธีทำข้อสอบ Error ให้คะแนนออกมาปัง ไม่ได้ยากอย่างที่คิด

น้องๆ นักเรียน หรือผู้ที่ต้องการเตรียมสอบวัดระดับภาษาหลายๆ คน เพียงแค่ได้ยินชื่อข้อสอบ Error Identification ก็ถอดใจกันไปแล้วใช่ไหม? เรียกได้ว่าเป็นแนวข้อสอบประเภทที่ค่อนข้างปราบเซียน แต่ความกังวลใจเหล่านั้นจะหมดไป เพราะบทความนี้จะพาไปดูเทคนิค และวิธีการทำข้อสอบ Error อย่างไรให้คะแนนออกมาปัง รับรองว่าทุกคนจับแนวได้ง่ายและสนุกกับการทำข้อสอบ Error มากขึ้นทันที ไปดูกัน

ข้อสอบ Error คืออะไร

ข้อสอบ Error คืออะไร

ข้อสอบ Error หรือชื่อเต็มๆ คือ Error Identification ในวิชาภาษาอังกฤษนั้น เป็นข้อสอบในหมวดหมู่ไวยากรณ์ (Grammar) ที่โจทย์จะมีโครงสร้างประโยคต่างๆ มาให้ในทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น การอ่าน การเติมคำ หรือการเขียน ซึ่งภายในโจทย์ที่กำหนดนั้นจะมีจุดที่ไวยากรณ์ผิดอยู่ และนั่นคือคำตอบที่ผู้สอบต้องเลือกว่าเป็น Error ของโจทย์ข้อนั้นตามชื่อนั่นเอง 

ข้อสอบ Error ใช้วัดอะไร

ข้อสอบ Error ใช้วัดอะไร

ข้อสอบ Error Identification เป็นการวัดทักษะโดยรวมเกี่ยวกับภาษานั้นๆ ของผู้เรียนอย่างมาก โดยเน้นไปที่การวัดทักษะความรู้ในเรื่องของไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ หรือที่เรียกกันว่าความรู้ Grammar ทุกอย่างของทฤษฎีด้านโครงสร้างไวยากรณ์ภาษาอังกฤษทั้งหมดมาให้ทดสอบ 

ข้อสอบ Error Identification จึงเป็นอุปสรรคสำหรับการเรียนที่เน้นทักษะการท่องจำมากกว่าการเน้นใช้งานจริง และที่สำคัญคือหลายๆ คน ยังไม่เข้าใจว่าข้อสอบ error คืออะไร จึงทำข้อสอบออกมาได้ไม่ดี เป็นอีกหนึ่งข้อผิดพลาดที่ทำให้เสียคะแนนสอบวัดผลแบบฟรีๆ มามากมาย

รู้หรือไม่? ที่จริงแล้วข้อสอบ Error มีเทคนิคการทำที่ง่ายมาก สามารถจับจุดและแก้โจทย์ได้ภายในเวลาไม่กี่วินาทีแค่มองคำถามก็เห็นถึงคำตอบทันทีแน่นอน เทคนิคเหล่านั้นจะมีอะไรบ้าง บทความนี้ได้รวบรวมเทคนิคการทำข้อสอบ Error มาเป็นไกด์ให้กับผู้ที่เตรียมตัวสอบวัดระดับภาษากันทุกคนแล้ว ไปดูกันเลย

ลักษณะข้อสอบ Error ที่ต้องรู้

ลักษณะข้อสอบ Error ที่ต้องรู้

ก่อนที่จะไปดูเทคนิคการทำข้อสอบ Error เราจำเป็นต้องรู้ลักษณะข้อสอง Error กันก่อน โดยโจทย์ข้อสอบ Error จะไม่เหมือนกับโจทย์ข้อสอบ Grammar ทั่วไป แต่จะมีลักษณะดังนี้

  • ข้อสอบ Error จะมีรูปประโยคมาให้ โดยจะมาเป็นข้อละ 1 – 2 ประโยค หรืออาจมาในรูปแบบของพารากราฟเหมือนกับข้อสอบ Reading ก็ได้เช่นกัน
  • ข้อสอบ Error จะขีดเส้นใต้คำต่างๆ ภายในประโยคของโจทย์แต่ละข้อเอาไว้ ซึ่งคำที่ถูกขีดเส้นใต้ไว้ทั้งหมด จะมีจุดที่ผิดอย่างน้อยตั้งแต่ 1 แห่ง หรือมากกว่านั้นก็ได้ ขึ้นอยู่กับข้อสอบแต่ละโจทย์
  • ผู้เข้าสอบต้องเลือกตอบว่าคำที่ขีดเส้นใต้จากประโยคที่มาในแต่ละข้อนั้น คำไหนผิดไวยากรณ์

รวม 12 วิธีทำข้อสอบ Error อย่างไรให้ปัง

เมื่อรู้กันไปแล้วว่าข้อสอบ Error Identification คืออะไร และเป็นข้อสอบที่สำคัญอย่างไรในการวัดทักษะระดับภาษา มาดู 12 เทคนิคการทำข้อสอบ Error อย่างไรให้ใช้เวลาในการทำน้อยที่สุด แต่ได้คะแนนออกมาดี ทำข้อสอบได้แบบไม่มีพลาด

1. ตรวจสอบ Subject and Verb Agreement

Subject and Verb Agreement เป็นหัวใจสำคัญอย่างแรกสุดของการตรวจสอบไวยากรณ์โครงสร้างประโยคภาษาอังกฤษ โดยในโครงสร้างภาษาอังกฤษจะมีการเรียงลำดับคือ ประธาน (Subject) + กริยาการกระทำ (Verb) แค่ 2 อย่างนี้ก็ถือว่าเป็นประโยคได้โดยที่ไม่ต้องมีกรรม และถ้าหากเป็นประโยคที่มี ประธาน (Subject) + กริยาการกระทำ (Verb) + กรรม (Object) ก็จะเป็นประโยคที่สมบูรณ์และมีกฎโครงสร้างที่ละเอียดมากขึ้น

สำหรับเทคนิคการทำข้อสอบ Error ด้วยกฎโครงสร้างพื้นฐานของประโยคนี้ จะต้องเริ่มจากการตรวจสอบ Tense ที่แบ่งออกเป็น 3 Tense หลักก่อน จากนั้นค่อยตรวจสอบประธาน (Subject) และกริยา (Verb) ดังนี้

  • Present Simple เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เกิดขึ้นเป็นประจำ และเกิดขึ้นจริง โครงสร้างประกอบด้วย ประธาน (Subject) + กริยาปัจจุบัน (Verb 1)
  • Past Simple เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตและจบลงแล้ว โครงสร้างประกอบด้วย ประธาน (Subject) + กริยาอดีต (Verb 2) 
  • Present Perfect เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่อดีตต่อเนื่องไปถึงอนาคต โครงสร้างประกอบด้วย ประธาน (Subject) + has / have + กริยาอนาคต (Verb 3) มักจะมีคำบอกถึงเวลาที่ต่อเนื่องอย่างชัดเจน เช่น For, Since, Recently เป็นต้น

2. ดู Part of Speech ให้ดี

หลักการดู Parts of speech นี้ หากอธิบายง่ายๆ คือ การรู้ว่าแต่ละคำในประโยคเป็นคำชนิดไหน และทำหน้าที่เป็นอะไร โดย Part of Speech ประกอบไปด้วย 9 ประเภท ได้แก่ Noun, Pronoun, Verb, Adjective, Adverb, Preposition, ConJunction, Interjection, และ Determiner ยกตัวอย่างประโยคและการอธิบายเสริมความเข้าใจง่ายๆ เช่น 

She is a veterinarian and that dog received treatment from her. 

เธอเป็นสัตวแพทย์ และสุนัขตัวนั้นถูกรักษาโดยเธอ

จะดู Part of speech ได้ว่า

  • She คือสรรพนาม (pronoun) ทำหน้าที่เป็นประธาน (Subject)
  • is คือกริยา (Verb 1)
  • veterinarian คือคำนาม (noun) ทำหน้าที่เป็นกรรม (object) 
  • and คือคำสันธาน (Conjunction) ทำหน้าที่เชื่อมประโยค 
  • that คือคำบุพบท (Preposition) ทำหน้าที่บอกตำแหน่ง 
  • dog ในประโยคนี้จะเป็นคำนาม (Noun) ที่ทำหน้าที่เป็นกรรม (object) เพราะถูกกระทำโดยประธาน
  • Her มาบอกถึงประธานแรก (She) และได้รับการกระทำคือ Verb 2 คำว่า  received treatment นั่นเอง 

โดยการดู Part of Speech เป็นวิธีการดูหน้าที่เบื้องต้นที่จะช่วยให้เราทำความเข้าใจตัวประโยคได้ดีมากยิ่งขึ้น นับว่าเป็นเทคนิคการทำข้อสอบ Error ที่ดี และใช้งานได้จริง

3. ดู Voice ให้ดี

หลักการดู Voice อย่าง Active voice และ Passive Voice จะเป็นการหาประธานและกรรมที่แท้จริงได้จากโครงสร้างประโยค โดยโครงสร้างของทั้งสองจะมีรายละเอียดดังนี้

รูปประโยค Active Voice จะเป็นแบบ  Subject + Verb + Object เช่น My sister bought a new computer. หมายถึง พี่สาวของฉันซื้อคอมพิวเตอร์เครื่องใหม่ เป็นการใช้ Tense พื้นฐานที่วางตำแหน่งประธานกระทำโดยตรงนั่นเอง 

รูปประโยค Passive Voice จะเป็นแบบ Subject + Verb to be + Verb 3 โดยประโยคลักษณะนี้จะใช้เมื่อประธานของประโยคเป็นผู้ถูกกระทำ เช่น My dog is got treatment from her. หมายถึง สุนัขของฉันถูกรักษาโดยหล่อน โดยมี My Dog เป็นประธานของประโยค และมี  is got treatment เป็นกริยา

จุดที่ทำให้สับสนจะเกิดขึ้นเมื่อต้องใช้ Voice คู่กับ Tense ที่ซับซ้อนอย่างเช่น Present simple tense ควรดูให้ดีว่าตัวประโยคใช้ Tense ถูกไหม ใครเป็นผู้กระทำ และผัน Verb ถูกหรือไม่ เช่น

The car has been washed since yesterday.

รถถูกล้างตั้งแต่เมื่อวานแล้ว

4. พจน์ เรื่องง่ายๆ ที่หลายคนมองข้าม

อีกหนึ่งเทคนิคการทำข้อสอบ Error ที่ง่ายแสนง่าย แต่หลายคนกลับมองข้ามจนทำพลาด คือการดูพจน์ หรือจำนวนของประธานและกรรมในรูปประโยคนั้น ซึ่งพจน์จะมีที่คุ้นเคยกันโดยทั่วไปประกอบด้วย เอกพจน์ (Singular) ที่เป็นจำนวนแค่หนึ่งเดียว และพหูพจน์ (Plural) มีจำนวนมากกว่า 1 ขึ้นไป จะมีเทคนิคเล็กๆ น้อยๆ ที่คนมักมองข้าม คือ การใช้ Verb ให้เหมาะกับพจน์ ในกรณีที่เป็น Present Simple Tense โดยถ้าเป็นนามที่มีเพียงแค่หนึ่งเดียว (เอกพจน์) จะต้องเติม -s หรือ -es ต่อท้าย Verb ส่วนนามที่มีมากกว่า 1 (พหูพจน์) สามารถเติม Verb แบบปกติได้เลย 

5. อย่าละเลยคำสรรพนาม

คำสรรพนาม (Pronoun) จะมีการปรับเปลี่ยนไปใช้แทนการเรียกประธานหรือกรรมด้วยคำอื่นแต่ยังคงหมายถึงคนเดิมหรือสิ่งเดิม ทำให้หลายๆ คนมักเกิดความสับสน โดยส่วนใหญ่แล้วเรื่องที่ต้องระวังเกี่ยวกับการใช้คำสรรพนามคือเรื่อง Possessive Pronoun หรือเรียกง่ายๆ ว่าเป็นคำสรรพนามเรียกแสดงความเป็นเจ้าของเพื่อใช้ขยายคำนาม (Possessive Adjective) หรือเป็นคำขยายที่ใช้แทนคำนานไปเลย (Possessive Pronoun) ตัวอย่างเช่น

  • I think it’s good to use her computer because my computer was low quality. จะมีคำว่า her และ my ที่บ่งบอกถึงการเป็นเจ้าของคำนาม computer อยู่ คำสรรพนามแบบนี้เรียกว่าเป็น Possessive Adjective
  • That computer is mine. หรือ That computer is hers. แบบนี้จะเป็นการใช้คำสรรพนาม mine หรือ hers ในการแสดงความเป็นเจ้าของไปเลย ซึ่งคำสรรพนามแบบนี้เรียกว่า Possessive Pronoun

6. เลือกใช้คำ (Word Choice) ให้ถูกต้อง

หลักการเลือกใช้คำ (Word Choice) จะเป็นการตัดคำที่ไม่จำเป็นในรูปประโยคนั้นออกไป ซึ่งประโยคข้อสอบมักจะเลือกคำที่ดูลื่นไหลเข้ากับประโยค หรือคำที่คุ้นตาให้ดูคล้ายๆ กับประโยคปกติมาหลอกผู้เข้าสอบ เช่น 

Barbara’s house is located nearly the river.

ประโยคนี้มีคำที่ผิดคือ nearly เพราะมีความหมายว่า ‘เกือบจะ’ คำที่ถูกควรเป็นคำว่า near ที่แปลว่าใกล้กับ 

รวม 12 วิธีทำข้อสอบ Error อย่างไรให้ปัง

7. โครงสร้างคู่ขนานต้องเหมือนกัน

กฎเรื่องโครงสร้างคู่ขนาน (Parallellism) นี้ เป็นหลักการที่ค่อนข้างละเอียด และต้องสังเกตเรื่องของกลุ่มคำต่างๆ ให้เป็นกลุ่มคำประเภทเดียวกัน เลือกใช้คำชนิดเดียวกันในประโยคมาเทียบกัน จึงได้เห็นจุดที่ผิดพลาดได้ เช่น 

I like playing video games, surfing the internet and cook food.

ประโยคนี้มองผ่านๆ อาจจะดูเหมือนไม่มีจุดผิดพลาดตรงไหน แต่หากสังเกตดีๆ จะเห็นว่า Verb ทั้งสามตัวนั้นมี 1 ตัวที่แตกต่างออกไป คือคำว่า cook นั่นเอง โดยคำว่า cook ในที่นี้ทำหน้าที่เป็นคำกริยา แต่ประโยคนี้มีกริยาอยู่แล้วคือคำว่า like ดังนั้น cook จึงต้องเปลี่ยนเป็นคำนามเหมือนกับ playing และ surfing จึงควรเปลี่ยนประโยคใหม่เป็น

I like playing video games, surfing the internet and cooking food.

8. ดูการใช้ Preposition

อีกหนึ่งเทคนิคการทำข้อสอบ Error ที่ไม่ควรมองข้ามเลยคือการใช้คำบุพบท (Preposition) ที่ทำหน้าที่เป็นคำเชื่อมบอกความสัมพันธ์ระหว่างคำๆ หนึ่ง กับอีกคำในประโยค เช่น  The phone on the table is mine. โดยมีคำว่า on เป็นคำบุพบทแสดงความสัมพันธ์ระหว่าง phone และคำว่า table ว่า หนังสืออยู่บนโต๊ะ นั่นเอง โดยคำบุพบทจะแบ่งออกเป็น 4 ประเภทตามการใช้งาน ดังนี้

  1. คำบุพบทบอกสถานที่ (Preposition of Place) คือคำบุพบทที่ใช้บอกความสัมพันธ์ว่าคำนามนั้น อยู่ที่ไหนของคำนามอีกคำ เช่น The cat under the chair names Charlie. โดยมีคำว่า under ที่ใช้บอกว่า แมวที่อยู่ใต้เก้าอี้ นอกจากนี้ยังมีคำอื่นๆ ที่เป็นคำบุพบทบอกสถานที่ที่ควรรู้ เช่น in, on, at, above, under, over เป็นต้น
  2. คำบุพบทบอกเวลา (Preposition of Time) ใช้เพื่อเป็นคำเชื่อมแสดงความสัมพันธ์ระหว่างเวลากับเหตุการณ์นั้นๆ โดยจะมีกฎการใช้ที่ชัดเจน ดังนี้
  • In ใช้กับ เดือน ฤดู ปี เช่น He will meet me in Summer.
  • On ใช้กับ วัน เทศกาล เช่น He will meet me on Sunday.
  • At ใช้กับ เวลาที่เฉพาะ เช่น He will meet me at 4 p.m.
  • Since แปลว่า ตั้งแต่ ใช้กับเวลาในอดีต เช่น We start dating since January.
  • For แปลว่า เป็นเวลา ใช้กับช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง เช่น We are dating for 4 years.
  1. คำบุพบทบอกการเคลื่อนไหว ( Preposition of Movement) ใช้เพื่อบอกการเคลื่อนไหวจากทิศทางหนึ่งไปยังอีกทิศทางหนึ่ง คำที่ควรรู้เช่นคำว่า to, toward, onto, into เป็นต้น เช่น He runs toward me. 
  2. คำบุพบทแบบซับซ้อน คือคำบุพบทที่มักจะอยู่กันเป็นกลุ่มคำ ขาดคำใดคำหนึ่งไปไม่ได้ เช่นคำว่า apart from, as well as, insted of, despite of เป็นต้น

9. เรียงลำดับคำ (Word Order) ถูกไหม?

วิธีทำข้อสอบ Error ให้ได้คะแนนสูงๆ อีกหนึ่งสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามเลยนั่นก็คือการเรียงลำดับคำ หรือ Word Order โดยเฉพาะในคำขยายต่างๆ อย่าง Adjective โดยหลักการเรียงที่ถูกต้องและใช้กันอย่างเป็นสากลคือ 

คำตั้งต้นหรือคำเริ่มต้นที่อาจไม่มีความหมายก็ได้ เช่น A, The, In และอื่นๆ  เป็นต้น  – ปริมาณที่เป็นจำนวน – คุณภาพหรือการแสดงความคิดเห็นว่าดี สวย น่าสนใจ ฯลฯ – ขนาดของสิ่งที่พูดถึง – อายุ – รูปร่างลักษณะ – สี – คำคุณศัพท์มาขยายความโดดเด่น – และคำนามหลัก เช่น

Many beautiful big older ancient wooden houses.

10. สังเกตการใช้คำเชื่อม (Conjunction)

ในข้อสอบ Error มักจะใช้คำเชื่อม (Conjunction) ทั้งสามรูปแบบ โดยแต่ละรูปแบบก็จะมีการใช้งานที่แตกต่างกันออกไปตามรูปประโยค และจุดประสงค์ของการใช้งาน ดังนี้

  • Correlative Conjunctions คำเชื่อมที่มาเป็นคู่ และใช้ในรูปประโยคให้คล้อยตามทิศทางเดียวกัน เช่น neither…nor ตัวอย่างประโยค Neither my sister nor I want my grandmother to go outside after 6 P.M. (ทั้งพี่สาวและฉัน ไม่ต้องการให้คุณยายออกจากบ้านหลัง 6 โมงเย็น) หรือคำเชื่อมอื่นๆ เช่น both…and, not only…but also, และ as…as เป็นต้น
  • Co-ordinating Conjunctions เป็นการเชื่อมประโยคทั้ง 2 ให้มีความสมบูรณ์แบบได้ทั้งการคล้อยตาม หรือความขัดแย้งให้เหมาะกับสถานการณ์ของประโยคนั้นๆ โดยมีหลักการจำง่ายๆ คือ FANBOYS ได้แก่
    • For (เพราะ) ใช้เชื่อมประโยคที่ต้องมีการอธิบายถึงเหตุผล
    • And (และ) ใช้เชื่อมประโยคที่มีความหมายเสริมทิศทางเดียวกัน 
    • Nor (ไม่ทั้งสองอย่าง) ใช้เชื่อมประโยคเชิงปฏิเสธทั้งหน้าและหลัง 
    • But (แต่) เชื่อมประโยคที่ขัดแย้งกัน 
    • Or (หรือ) ใช้สำหรับเชื่อมประโยคที่ต้องการเพิ่มทางเลือก 
    • Yet (แต่) ใช้เชื่อมประโยคที่ขัดแย้งกัน
    • So (ดังนั้น) ใช้เชื่อมประโยคที่เป็นเหตุเป็นผลกัน
  • Subordinating Conjunctions จะเป็นการเชื่อมประโยคโดยมีการบอกถึงช่วงเวลาของการเกิดเหตุการณ์นั้นๆ จะมีโครงสร้าง 2 แบบ ได้แก่
    • S + V + Subordinating Conjunctions + S + V ตัวอย่างเช่น Humans drink water when they are thirsty. บอกถึงการจะทำสิ่งไหน ตอนไหน
    • Subordinating Conjunctions + S + V, S + V  ตัวอย่างเช่น Since Klee refused to help him, Venti hasn’t talked with her. บอกถึงสาเหตุของเหตุการณ์นั้น

11. Modal Verbs ที่หลายคนมักเลือกผิด

Modal Verbs เป็นกริยาช่วย ที่มีความหมายในตัวมันเอง โดยหลายคนมักจะเลือกใช้ Modal verb ผิดจุดประสงค์ ทำให้เสียคะแนนในส่วนนี้ไปได้ โดย Modal Verbs ที่ควรรู้ก่อนเข้าสอบ Error มีทั้งหมด 10 ตัว ดังนี้

  • Can / Could ใช้เพื่อบอกว่า สามารถทำได้ ใช้เพื่อบอกสิ่งที่เป็นไปได้ สิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นหรือ ใช้เพื่อขออนุญาต
  • May / Might ใช้เพื่อบอกสิ่งที่เป็นไปได้ สิ่งที่อาจจะเกิดขึ้น และใช้เพื่อขออนุญาต
  • Will ใช้เพื่อบอกสิ่งที่คาดว่าจะเกิดในอนาคต และบอกความตั้งใจ
  • Would ใช้เพื่อบอกถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอดีต บอกความต้องการ ขอร้องแบบสุภาพ และใช้ในประโยคเงื่อนไข
  • Shall ใช้เพื่อเสนอความช่วยเหลือ และให้ข้อเสนอแนะ
  • Should ใช้ในประโยคเชิงแนะนำ
  • Must ใช้เพื่อบอกในสิ่งที่ต้องทำ ขาดไปไม่ได้ หากใช้ในรูปปฏิเสธจะหมายถึง ห้ามทำอย่างเด็ดขาด
  • Ought to หมายถึงควรจะ แต่เป็นคำที่ไม่เป็นที่นิยมและ ส่วนมากจะใช้ Should แทน

12. คำเปรียบเทียบ ต้องเลือกใช้ให้ถูก

หลักพื้นฐานของทฤษฎีการเปรียบเทียบคำขั้นต่างๆ ในภาษาอังกฤษก็ต้องอย่าลืมนำไปใช้ด้วย โดยขั้นลำดับเปรียบเทียบจะมี 3 ลำดับด้วยกัน ประกอบด้วย ขั้นพื้นฐาน, ขั้นกว่า และ ขั้นสูงสุด จะเป็นการเปรียบเทียบผ่าคำวิเศษณ์ เช่น Smart, Smarter, Smartest ที่แปลว่า ฉลาด, ฉลาดกว่า และ ฉลาดมากที่สุด ส่วนบางคำจะเป็นคำว่า The most + Adj. ก็จะหมายถึงขั้นสูงสุดเช่นกัน เช่น the most beautiful หากแยกลำดับการเปรียบเทียบและการใช้งานของหลักการ Comparison นี้แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ

  • การเปรียบเทียบขั้นพื้นฐาน จะใช้คำขยาย (Adverb / Adjective) ที่เป็นคำรูปปกติทั่วไป เช่น Beautiful, hard, bright, high, small เป็นต้น
  • การเปรียบเทียบขั้นกว่า หากเป็นคำพยางค์เดียว จะเติมแค่ er เข้าไปต่อท้าย เช่น harder, higher, faster เป็นต้น ส่วนถ้าเป็นคำตั้งแต่ 2 – 3 พยางค์ขึ้นไป จะใช้ more ไว้ข้างหน้า เช่น more beautiful, more intelligent เป็นต้น
  • การเปรียบเทียบขั้นสูงสุด หากเป็นคำพยางค์เดียวจะเติม est เข้าไปต่อท้ายคำแล้วเติม the ด้านหน้าคำ เช่น the highest, the tallest เป็นต้น ส่วนถ้าเป็นคำตั้งแต่ 2 – 3 พยางค์ขึ้นไป จะเติม the most ไว้ข้างหน้าคำ เช่น the most beautiful, the most youngest เป็นต้น

ดังนั้น จุดที่สับสนบ่อยๆ สำหรับการใช้หลัก Comparison หรือการเปรียบเทียบนี้มักจะเป็นตำแหน่งการวางคำ และการเปลี่ยนรูปคำนั่นเอง

รวม 3 คอร์ส Grammar + Error แนะนำจาก Self U

รวม 3 คอร์ส Grammar + Error แนะนำจาก Self U

สำหรับใครที่กำลังเตรียมสอบวัดระดับภาษาอยู่ แล้วต้องการ เทคนิคการทำข้อสอบ error ที่เข้าใจง่าย มีตัวอย่างประกอบไว้ครบถ้วน มีคำอธิบายที่สร้างภาพจำโดยไม่ต้องอ่านโจทย์ทั้งหมดก็รู้คำตอบที่ถูกต้องในโครงสร้างอย่างแม่นยำทันที แนะนำ 3 คอร์สจาก Self U ที่ประกอบด้วย

  • คอร์สเรียน Grammar + Error ของระดับชั้นประถม สอนตั้งแต่โครงสร้างประโยค การแต่งประโยค หลักการเขียนที่ถูกต้อง ทำให้เข้าใจทฤษฎีและเน้นการเขียนรูปแบบทางการ เพื่อต่อยอดไปยังระดับถัดไป รวมถึงช่วยสอนไวยากรณ์ให้แม่นยำมากที่สุด โดยคอร์สนี้จะสอนตั้งแต่ Paragraph ไปจนถึง Essay ซึ่งเป็นพื้นฐานของการเขียน IELTS โดยมีอายุคอร์ส 6 เดือน มาพร้อมชั่วโมงเรียนถึง 24+5 ชั่วโมง
  • คอร์สเรียน Pack Junior Grammar + Error ของระดับชั้นม.ต้น สอนการเรียนรู้และพัฒนาทักษะในการเลือกใช้ไวยากรณ์ครบทุกเรื่อง จำโครงสร้างประโยคพร้อมปรับใช้ได้อย่างแม่นยำ สอนการเชื่อมโยงข้อสอบเป็นแผนภาพ Tree Tactics ช่วยให้เข้าใจง่าย ทำโจทย์เป็น และเห็นผลได้จริง พร้อมฝึกเทคนิคทำโจทย์ Grammar + Error พร้อม Premium Exercises มากกว่า 2,000 ข้อ รวมชั่วโมงเรียนแล้วถึง 48+10 ชั่วโมง พร้อมอายุคอร์ส 9 เดือน
  • คอร์สเรียน Pack Ultimate Grammar + Error ของระดับชั้นม.ปลาย หลักสูตรที่ครบทุกการทบทวนและการใช้งานไวยากรณ์ทั้งหมด ครอบคลุมทุกเรื่องที่ออกสอบในโรงเรียนและการสอบเข้ามหาวิทยาลัย สอนการทำข้อสอบแบบเชื่อมโยงเป็นแผนภาพ Tree Tactics ฝึกเทคนิคทำโจทย์ Grammar + Error พร้อม Premium Exercise มากกว่า 2,000 ข้อ ทั้งหมดนี้มีชั่วโมงเรียน 48+10 ชั่วโมง พร้อมอายุคอร์ส 9 เดือน

สรุป

ข้อสอบ Error คือการวัดทักษะความรู้วิชาภาษาอังกฤษทุกทฤษฎีพื้นฐาน เสมือนเป็นข้อสอบสำหรับการทบทวนความรู้ทุกอย่างพร้อมประยุกต์ใช้ได้อย่างแม่นยำ เหมาะกับทั้งผู้ที่เตรียมสอบวัดระดับภาษา สอบรับผลเพื่อนำไปใช้ทำงาน หรือเรียนต่อได้ทุกแห่ง หากอยากได้คะแนนการทำข้อสอบ Error Identification ดีๆ ต้องลองทำตาม 12 วิธีทำข้อสอบ Error ที่ได้บอกไปในบทความนี้ได้เลย

สำหรับใครต้องการติวเข้ม หรือเรียนคอร์สเกี่ยวกับวิธีทำข้อสอบ Error ให้แม่นยำทุกทฤษฎี แนะนำ Enconcept เลือกเรียนที่นี่จะได้รู้พื้นฐาน Tense และโครงสร้าง Grammar ทั้งหมดตั้งแต่ระดับพื้นฐานทั่วไป ไปจนถึงระดับ Advance ที่ใช้งานได้จริงราวกับเจ้าของภาษา ในราคาสุดคุ้ม

คอร์สเรียนแนะนำ

Memolody Complete
เล่ม 1-3

ยกมาหมดครบอัลบั้ม
เรียนศัพท์มันส์กว่า 210 เพลง

6,500.-

Pre TCAS
Admission อังกฤษ

เน้นพื้นฐาน ม.ปลาย
โค้งสุดท้ายสรุปรวบรัดเนื้อหา TCAS

5,500.-

TCAS Admission อังกฤษ
(TGAT, A-Level)

เก็บเทคนิคพิชิต TCAS
เน้นเจาะโจทย์ จับประเด็นสำคัญ

8,000.-

ตะลุยโจทย์ TCAS
Admission อังกฤษ

เน้นปูพื้นฐาน ม.ปลาย โค้งสุดท้าย
สรุปรวบรัดเนื้อหา TCAS

5,500.-

Junior Vocab &
Reading ม.ต้น

ยำเทคนิคเก่งศัพท์ระดับ ม.ต้น
เผยเคล็ดลับทำ Reading

5,500.-

Junior
Grammar & Error

เก่ง Grammar ระดับ ม.ต้น
เป็นระบบ จำได้ ใช้เป็น

5,500.-

คอร์สแนะนำของ Enconcept คอร์สเตรียมอุดม

สอบเข้าเตรียมฯ และ
ม.4 โรงเรียนดัง อังกฤษ

สรุปรวมคลังความรู้ ม.ต้น
เผยเทคนิคพิชิตสนาม ม.4

7,900.-

คอร์สแนะนำของ Enconcept คอร์สเตรียมอุดม

Pre สอบเข้าเตรียมฯ และ
ม.4 โรงเรียนดัง อังกฤษ

ปรับพื้นฐานรวบรัดระดับ ม.ต้น
ฉบับก่อนสอบสนาม ม.4

5,500.-

Vocab & Reading
ประถมปลาย

อ่านเก่ง! ศัพท์แน่น! ระดับประถม
พร้อมทำข้อสอบทุกรูปแบบ

5,500.-

Grammar & Error
ประถมปลาย

ปูพื้นฐานแกรมมาร์ประถมให้แข็งแรง
เจาะเฉพาะหัวใจสำคัญ

5,500.-

Memolody Signature
ประถม

60 เพลงจำศัพท์ สอนศัพท์ประถม
ออกสอบ จำเพลินกว่า 1,000 คำ

5,500.-

สอบเข้า ม.1 โรงเรียนดัง
และ O-NET ป.6 อังกฤษ

ลำดับเนื้อหาเป็นระบบ
สรุปครบเครื่องเรื่องออกสอบ

5,500.-

สมัครเรียน
ทดลองเรียนฟรี
ปรึกษาปัญหา
การเรียน
สมัครเรียน
ทดลองเรียนฟรี
ปรึกษาปัญหา
การเรียน